ในโลกสินทรัพย์ดิจิทัล นอกเหนือจากคริปโทเคอเรนซีหรือเหรียญดิจิตอลที่มาแรงมากในขณะนี้ อีกหนึ่งสินค้าที่ฮอตไม่แพ้กันคือ NFT ที่ได้รับความสนใจอย่างมากในกลุ่มนักสะสม และศิลปิน ไม่ว่าจะเป็นวงการเกม แฟชั่น ศิลปะ ฯลฯ ต่างก็เข้ามาร่วม NFT มีเม็ดเงินหมุนเวียนมหาศาล
NFT ย่อมาจาก Non-Fungible Token ที่เป็นชื่อเรียกของ Cryptocurrency อย่างหนึ่งเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีชิ้นเดียวในโลก ทำซ้ำหรือคัดลอกกันไม่ได้แม้จะ copy จากต้นฉบับของจริงจะมีอยู่เพียงหนึ่งเท่านั้น ส่วนโทเคน NFT ก็เปรียบเสมือนกับโฉนดเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของสินทรัพย์ชิ้นนี้นั่นเอง ด้วยคุณสมบัติ NFT อยู่ในรูปแบบ สินทรัพย์มีความเฉพาะตัวสูง เช่น ภาพถ่าย ผลงานศิลปะ เพลงของสะสม Video งานแฟชั่น เข้าใจง่าย ๆ ว่าอะไรที่มีชิ้นเดียวในโลกสามารถนำมาแปลงให้อยู่ในรูปของ NFT ได้
NFT กับ Cryptocurrency ทั่วไปต่างกันตรงไหน
1. NFT จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่สามารถทดแทนกันได้ NFT เป็นทรัพย์สินที่มีความเป็นเอกลักษณ์จึงไม่สามารถนำ NFT หรือโทเคนอื่นมาแทนได้ ที่ต่างจากเงินจริง ๆ Cryptocurrency ที่เป็น Fungible Token คือ เหรียญในสกุลเงินไม่ต่างกันสามารถซื้อขายแทนกันได้หมด ยกตัวอย่างเช่น เพื่อนยืมเงิน 200 บาท เราให้แบงค์ร้อยไปพอเพื่อนนำมาคืนก็ไม่จำเป็นจะต้องเอาแบงค์ร้อยใบเดิมมาคืน อาจจะเป็นเหรียญ 10 เหรียญ 5 แบงค์ 20 แบงค์ 50 หรือแบงค์ 100 ใบอื่นมาคืนก็ได้ เพราะมูลค่าเท่ากันใช้ทดแทนกันได้ NFT เปรียบเหมือนกับงานศิลปะที่เราตั้งใจซื้อภาพนี้ก็ต้องได้โทเคนของภาพนี้เท่านั้นจะเอา Token ของคนอื่นมาแทนไม่ได้เพราะเป็นคนละภาพกัน
2. NFT ใช้แลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าไม่ได้ เรานำ Cryptocurrency ใช้เป็นตัวกลางในการทำธุรกรรมการซื้อขายแลกเปลี่ยน ใช้แทนเงินสดในร้านค้า บริการที่รับชำระด้วยเหรียญดิจิทัล เช่น นำอีเธอเรียม จ่ายค่าอาหาร ใช้บิทคอยน์ซื้อรถยนต์ เป็นต้น ส่วน NFT ไม่สามารถนำไปซื้อขายสินค้าอื่นได้ นอกจากจะนำตัว NFT ออกมาขายเองเท่านั้น
3. ต้องซื้อขาย NFT แบบเต็มหน่วยเท่านั้น เวลาที่จะซื้อเหรียญดิจิทัลเป็นคลิปโทเคอร์เรนซีจะซื้อเป็นหน่วยย่อยแค่ 0.000001 หน่วย เงินลงทุนที่เรามีก็สามารถทำได้ ในขณะที่ NFT จะต้องซื้อในมูลค่าเต็ม 1 หน่วยเท่านั้น ซื้อเป็นหน่วยย่อยไม่ได้ ผู้ที่ถือครองคือเป็นเจ้าของเพียงผู้เดียว